ประวัติ โอดะ โนบุนากะ ไดเมียวแห่งยุคเซงโงกุ จอมมารฟ้าขุนพลผู้รวบรวมแผ่นดิน

ประวัติ โอดะ โนบุนากะ  ไดเมียวแห่งยุคเซงโงกุ จอมมารฟ้าขุนพลผู้รวบรวมแผ่นดิน

หากจะถามว่าในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นใครเป็นบุคคลแห่งประวัติศาสตร์ ก็คงจะมีเยอะเหมือนกัน แต่ถ้าขีดวงให้แคบเข้าเหลือแต่นักการทหาร บุคคลที่เปรียบเสมือนเสนาธิการทหารที่เก่งสุดยุคหนึ่งได้ทั้งบุ๋นและบู๊ จนสามารถรวบรวมแผ่นดินญี่ปุ่นเข้าเป็นเนื้อเดียวกันได้หมด ต้องย้อนกลับไปในยุคเซงโงกุ กับไดเมียวที่ชื่อว่า โอดะ โนบุนากะ ชายคนนี้เค้าเป็นใคร ประวัติของโอดะ โนบุนากะ ประวัติของโอดะ โนบุนากะ ต้องมองย้อนไปถึงเกิดเมื่อปี ค.ศ.1534 ที่ปราสาทนะโงยะ ชื่อเดิมคือ คิปโปชิ ตามครอบครัวเค้าเป็นบุตรชายคนที่สองของ โอดะ โนบุฮิเดะ ไดเมมียแห่งแคว้านโอะวะริ (ปัจจุบันคือพื้นที่ในจังหวัดไอจิ) ตามศักดิ์แล้วแม้จะเป็นบุตรคนรองแต่เกิดกับภรรยาหลวง ทำให้เค้ามีหน้าที่สืบสมบัติจากพ่อซึ่งเป็นไดเมียวตามธรรมเนียม ตอนเด็ก คิปโปชิ ต้องบอกว่ามีแนวคิดค่อนข้างจะแตกต่างจากเด็กคนอื่นพอสมควร แม้จะได้รับการสั่งสอนจากอาจารย์ที่ชื่อว่า ฮิระเตะ มะซะฮิเดะ ชายผู้ทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาของไดเมียวที่ไว้วางใจที่สุดก็ตาม แต่โนบุนากะในตอนนั้นก็เด็กเกินกว่าจะเข้าใจอะไรได้ ทำให้ตัวเค้าเองแสดงกิริยาอาการที่ไม่ดีหลายครั้ง จนอาจารย์ต้องฆ่าตัวตายเพื่อชดใช้ความผิดดังกล่าว ทำให้โนบุนากะเสียใจมาก การขึ้นครองเมือง หลังจากไดเมียเสียชีวิตลง แน่นอนว่า คิปโปชิ หรือ โนบุนากะ ต้องขึ้นครองเมืองแทนที่บิดาตามธรรมเนียมแต่ด้วยอายุที่ยังเด็กเกินไปทำให้การขึ้นครองเมืองนั้น เต็มไปด้วยความยากลำบากไม่ว่าจะเป็นแคว้นข้างเคียงที่มีอำนาจมากกว่า ก็พร้อมจะเข้าทำศึกสงครามในช่วงผลัดเปลี่ยนเจ้ามือง รวมถึงสงครามภายในที่ตระกูลย่อย ตระกูลสาขาหวังจะขึ้นมาเป็นใหญ่แทน ซึ่งโนบุนากะก็ใช้ความกล้าหาญ เอาชนะจนได้ขึ้นครองเมืองอย่างเต็มตัวในที่สุด ความสามารถทางทหาร หลังจากครองเมืองได้อย่างมั่นคงแล้ว โนบุนากะ ก็เริ่มที่จะขยายอิทธิพลของตัวเองให้ออกไปไกลมากขึ้นด้วยวิธีสงคราม และการเจรจาสลับกันไป เมืองไหนเจรจาได้ทุกอย่างก็จบ แต่หากเจรจาไม่ลงตัวก็พร้อมจะทำสงครามให้ดับดิ้นไป ด้วยวิธีนี้ทำให้โนบุนากะสามารถผนวกแคว้นหลายแห่งเข้าไปเป็นเมืองเดียวกันได้ ซึ่งอาวุธเด็ดในตอนนั้นของเค้านอกจากฝีมือเชิงดาบแล้วการใช้ปืนซึ่งเป็นอาวุธใหม่ในตอนนั้นก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ยกระดับกองทัพที่ไม่ใช่ทหารแบบถูกฝึกมาทั้งหมด เอาชนะกองทัพที่เป็นทหารล้วนๆ ได้ ถือว่าเป็นอีกหนึ่งนักการทหาร เสนาธิการ และแม่ทัพผู้เด็ดเดี่ยวคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นเค้าเลย

Read More

ประวัติ ดร.ซุน ยัดเซ็น ผู้นำแห่งการปฏิวัติ

ประวัติ ดร.ซุน ยัดเซ็น ผู้นำแห่งการปฏิวัติ

ดร.ซุน ยัดเซ็น เกิดมาในครอบครัวของเกษตรกรผู้ยากจนในจังหวัดเซียงซาน ในมณฑลกวางตุ้งของจีนตอนใต้  ในปี 1879 “ซุน เหมย” (พี่ชายของเขาซึ่งก่อนหน้านี้เคยอพยพไปฮาวายในฐานะคนงาน) พาเขาไปที่โฮโนลูลูไปเรียนต่อที่โรงเรียนสอนศาสนาชาวอังกฤษเป็นเวลาสามปี และที่วิทยาลัยโอวาฮูอีกหนึ่งปี เป็นครั้งแรกที่เขาได้เข้ามาสัมผัสกับอารยธรรมจากประเทศตะวันตก หลังจากพี่ชายของเขาคัดค้านความชอบของเขาที่มีต่อศาสนาคริสต์ ทำให้ส่งซุนกลับไปที่บ้านเกิดของเขาในปี 1883 เพื่อไปศึกษาต่อในฮ่องกงในช่วงฤดูใบไม้ร่วง ในขณะที่เขารับการบัพติสมาโดยผู้สอนศาสนาชาวอเมริกันในช่วงปลายของปีเดียวกันนี้เอง ในปี 1884 ซุนได้เดินทางย้ายไปศึกษาต่อที่โรงเรียนรัฐบาลกลาง (ต่อมารู้จักกันในนาม Queen’s College) และแต่งงานกับ “หลู มู่เจิน” ซึ่งเป็นการแต่งงานที่จัดขึ้นของผู้ใหญ่ พวกเขาได้ให้กำเนิดบุตรอีก 2 คน เป็นเด็กชาย 1 และเด็กหญิงอีก 1 คน หลังจากการเดินทางไปฮาวายอีกครั้ง ซุนได้เข้าศึกษาที่โรงเรียนแพทย์โรงพยาบาลกวางโจวในปี 1886 จนกระทั่งได้ย้ายไปศึกษาต่อที่วิทยาลัยแพทยศาสตร์จีนในฮ่องกง ซึ่งเขาได้จบการศึกษาในปี 1892 ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้เรียนมาเพื่อประกอบอาชีพการเมือง ซุนยังคงมีความทะเยอทะยานที่จะหาวิธีแก้ปัญหากับประเทศจีน ที่ยึดติดกับวัฒนธรรมดั้งเดิมภายใต้ราชวงศ์ชิง ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ต้องก้าวผ่านไปเพื่อให้มีความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมากขึ้น ก้าวสู่อาชีพการเมืองที่เปลี่ยนชะตากรรมของประเทศ หลังจากที่ ดร.ซุน ได้ตัดสินใจเด็ดขาดจึงทิ้งอาชีพหมอเพื่อเดินทางขึ้นเหนือ เพื่อไปตามหาความสำเร็จทางการเมืองในปี 1894 เขาได้ส่งจดหมายไปถึง “หลี่ หงจาง” ข้าหลวงใหญ่แห่งเหอเป่ย์ เพื่อบอกถึงแนวทางที่จะช่วยให้ประเทศจีนจะกลับมาแข็งแกร่งได้อีกครั้ง แต่สิ่งที่เขาได้รับกลับมาเป็นเพียงความไม่ใส่ใจใยดี ทำให้เขาเดินทางกลับไปที่ฮาวายอีกครั้งในเดือนตุลาคมปี 1894 และก่อตั้งสมาคมที่เรียกว่า “ชิงจงฮุย” ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นบรรพบุรุษของกลุ่มคณะปฏิวัติที่ยิ่งใหญ่สุดของจีน สมาชิกทั้งหมดมาชาวพื้นเมืองของมณฑลกวางตุ้ง และจากชนชั้นรากหญ้าเช่น เสมียน ชาวนา ช่างฝีมือ ภารกิจของคณะปฏิวัติได้สัมฤทธิ์ผลเมื่อ ดร.ซุนได้แอบเจรจากับหยวนซื่อไข่จนได้โค่นอำนาจแมนจูลงได้ในที่สุด  ในวันที่ 20 มีนาคม ปี 1912 เจ้าหน้าที่ของหยวนซื่อไข่ได้ลอบสังหาร…

Read More

ประวัติ สุนทรภู่ นักแต่งบทกวีชื่อดังของไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก

ประวัติ สุนทรภู่ นักแต่งบทกวีชื่อดังของไทยที่ใครๆ ก็รู้จัก

สุนทรภู่ หรือภู่ เกิดเมื่อวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ.2329 ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ โดยเป็นคนที่เฉลียวฉลาด มีความใฝ่รู้ มีโอกาสได้เล่าเรียนหนังสือในวัดชีปะขาว (วัดศรีสุดาราม) โดยมีพระอาจารย์เป็นผู้สอน ด้วยการชอบในกาประพันธ์กลอน จึงได้ลองแต่งกลอนนิทานในยามที่ว่างออกมาบทหนึ่ง ซึ่งก็คือเรื่อง โคบุตร โดยได้มีพบรักกับนางในวังนางหนึ่งที่ชื่อแม่จัน และได้แต่งนิราศเมืองแกลง จังหวัดระยองขึ้น เพื่อเป็นการบรรยายถึงความลำบากในการเดินทางเพื่อเป็นการเอาใจผู้หญิงที่หมายครองจนสุดท้ายก็ได้แม่จันเป็นภรรยา และมีบุตรด้วยกัน 1 คนชื่อพัด หลังจากนั้นก็ได้พัฒนาฝีมือเรื่อยมาจนได้มีโอกาสแต่งนิราศพระบาทในฐานะมหาดเล็กของพระองค์เจ้าปฐมวงศ์ และได้แต่งกลอนละครที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายจนทำให้ได้รับความดีความชอบเลื่อนยศให้เป็นขุนสุนทรโวหาร โดยละครเรื่องนี้ก็ รามเกียรติ์ นี่เอง ภายหลังทีจากที่มีความชอบจากการประพันธ์บทกลอนมากมายที่เป็นประโยชน์มากกว่าแค่เพียงฟังไพเราะเสนาะหู ทำให้สุนทรภู่ ได้เลื่อนขึ้นเป็นถึงหลวงสุนทรโวหาร และได้แต่งงานใหม่อีกครั้งกับแม่นิ่ม จนไม่นานก็ให้เกิดกำเนิดบุตรชื่อ ตาบ แต่มีเพียงบุตรคนโตคือพัดที่ติดตามบิดาของตนอยู่ตลอดเวลา ด้วยเรื่องราวต่างๆ มากมายที่เข้ามาทำให้สุนทรภู่ต้องการใช้เวลาในการศึกษาธรรมะช่วยขัดกล่อมจิตใจ และได้ขอลาบวชกว่า 18 ปี ในระหว่างนี้ก็ได้เกิดผลงานและนิราศเพิ่มมากมาย โดยเฉพาะรำพันพิลาป ที่แต่งเป็นบทสุดท้ายก่อนที่จะเข้าพิธีลาสิกขา หรือลาสึกจากการเป็นพระ เมื่อครั้งที่สุนทรภู่ได้กลับเข้ามารับตำแหน่ง โดยได้รับแต่งตั้งเป็นเจ้ากรมอาลักษณ์ โดยได้ศักดิ์เดิมเพียงเปลี่ยนจากหลวง เป็นพระสุนทรโวหาร และได้แต่งเรื่อง พระอภัยมณี ขึ้นมาในขณะนั้น จนได้แต่งงานใหม่ครั้งที่สามกับแม่นิ่ม และได้มีบุตรอีกคนคือ นิล กับบุตรบุญธรรมอีกสองคน กลั่น และชุบ ซึ่งในผลงานของสุนทรภู่นั้น เป็นที่รู้กันดีว่ามีเต็มไปด้วยคำพังเพย คำเปรียบเทียบ แนวคิด และความรู้ต่างๆ ด้วยความรู้มากมายเหล่านี้ทำให้สุนทรภู่ได้รับสมญาใหม่คือ มหากวีกระฎุมพี แต่แล้วก็ถึงวาระสุดท้ายในปี พ.ศ.2398 ด้วยอายุรวม 69 ปี โดยได้มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์สุนทรภู่ที่บ้านเกิดของบิดาจังหวัดระยอง และเมื่อปี พ.ศ.2529 เป็นวันที่ครบรอบอายุ 200 ปีพอดี…

Read More

คลีโอพัตรา (Cleopatra)

คลีโอพัตรา (Cleopatra)

พระนางคลีโอพัตรา เป็นราชินีที่โด่งดังอีกหนึ่งคนแห่งประวัติศาสตร์อียิปห์ หญิงงามที่ทำให้อาณาจักรโรมันต์ยอมคุกเข่า พระนางคลีโอพัตราประสูติเมื่อเดือนมกราคม เมื่อ 69 ปี ก่อนคริสตกาล เป็นพระราชินีแห่งอียิปต์โบราณองค์สุดท้ายของราชวงศ์ทอเลมี คำว่า คลีโอพัตรา แปลว่า ความเจริญรุ่งเรืองของบิดา นามเต็มของพระนางคือ คลีโอพัตรา เธอา ฟิโลปาตอร์ ซึ่งหมายความง่ายๆว่า ผู้เป็นที่รักของบิดา คลีโอพัตรถูกปลูกฝังให้เป็นฟาโรห์ตั้งแต่เด็ก และเธอเรียนรู้ที่เป็นฟาโรห์ที่เก่งกว่าบิดาของตน ทำให้ผู้คนในอียิปต์ชื่นชอบในตัวเธอเป็นจำนวนมาก  กุญแจแห่งความสำเร็จของเธอล้วนมาจากความฉลาดหลักแหลม และการเข้าใจภาษาอียิปต์และประเทศนั้นอย่างดี เธอเป็นราชินีเพียงคนเดียวที่เรียนภาษาอียิปต์ เธอซึมซับบทเรียนของปาโตเรมีและเป็นราชินีเพียงคนเดียวที่ยอมเสียสละทุกอย่างที่ทำให้อียิปต์เป็นใหญ่ คลีโอพัตราได้จบชีวิตของเธอ ตามตำนานของโรมันต์เธอโดนจองจำเหมือนกับนักโทษ เธอจึงจบชีวิตตัวเองโดยการฆ่าตัวตาย ความทะเยอะทะยานที่จะครอบครองโลกของเธอจึงจบลง

Read More

เนเฟอร์ติติ์ (Nefertiti)

เนเฟอร์ติติ์ (Nefertiti)

พระนางเนเฟอร์ติติ  ในตำนานได้กล่าวไว้ว่า อียิปต์ไม่เคยสร้างหญิงใดงามได้เท่าพระนางเนเฟอร์ติติ ซึ่งเป็นผู้สมบูรณ์แบบในพระสิริโฉม เรื่องราวของพระนางเนเฟอร์ติติ เริ่มต้นจากยุครุ่งเรืองมัลการ์ตาร์ที่งดงามที่สุดในอิยิปโบราณและเป็นที่ประทับของฟาโรห์ ไม่มีใครทราบว่าพ่อแม่ของพระนางเนเฟอร์ติติคือใคร พระนางเนเฟอร์ติติเติบโตท่ามกลางนางสนมกว่า 500 คนในฮาเร็มกว้างใหญ่ของอาเมนโฮเทปที่2 ฟาโรห์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ซึ่งพระมเหสีราชินีไทยี่ เลือกหญิงสาวจากฮาเร็มแห่งนี้ให้เป็นชายาของพระโอรสและผู้ที่ถูกเลือกนั้นคือ พระนางเนเฟอร์ติติ แต่ทุตโมเสสองค์รัชทายาทสิ้นพระชนม์ตั้งแต่อายุยังน้อย จึงทำให้อาเคนาเตนพระสวามีของพระนางเนเฟอร์ติติกลายมาเป็นผู้สืบทอดบัลลังก์อียิปต์ ทั้งคู่มีบุตรสาวด้วยกัน 6 คน ในปีที่4 ของการครองราชย์ทั่งคู่ตัดสินใจละทิ้งเมืองทีบส์ ที่เคยเป็นเมืองหลวงของอียิปต์มาเป็นเวลาหลายร้อยปี และออกมุ่งหน้าไปในทะเลทราย พระองค์ทรงแสวงหาที่สร้างเมืองหลวงใหม่ที่ปลอดภัยและห่างไกลจากศัตรู อาเมนโฮเตปที่4 เริ่มสร้างสถานที่เพื่อบูชาเทพอาเตนและยังเชื่ออีกว่าที่เดียวกันนี้พระองค์ได้ก่อสร้างเมืองหลวงแห่งใหม่ ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นรู้จักเป็นชื่อเมือง อาร์ฮานา เมืองแห่งนี้ได้ถูกวางผังเมืองอย่างดีเป็นเมืองแรกของโลก ในปีที่ 14 พระนางเนเฟอร์ติติก็หายไปในจากบันทึก นักอียิปต์วิทยาบางคนเชื่อว่าพระนางสิ้นพระชนม์ด้วยโรคระบาด

Read More

พุ่มพวง ดวงจันทร์ (Pumpuang Duangjan)

พุ่มพวง ดวงจันทร์ (Pumpuang Duangjan)

ดาวค้างฟ้าในวงการบันเทิงด้านเพลงลูกทุ่งใครๆก็คงนึกถึงราชินีลูกทุ่งอย่าง รำพึง จิตรหาญ หรือผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องเพลงลูกทุ่ง เจ้าของฉายา ราชินีลูกทุ่ง ที่มีน้ำเสียงออดอ้อน จำเนื้อร้องได้อย่างแม่นยำทั้งๆ ที่ไม่รู้หนังสือ รำพึง จิตรหาญเกิดที่บ้านหนองนกเขา ตำบลไพรนกยูง อำเภอหางคา จังหวัดชัยนาท โตที่ตำบลบ่อสุพรรณ อำเภอสองพี่น้อง จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นบุตรคนที่ 5 ในจำนวน 12 คนของนายสำราญ และนางเล็ก จิตรหาญ ครอบครัวประกอบอาชีพรับจ้างทำไร่อ้อย ฐานะครอบครัวยากจนมาก รำพึงชื่นชอบการร้องเพลงมาก ถึงแม้จะอ่านหนังสือไม่ออก แต่มีความจำดีเยี่ยม เธอเดินสายประกวดร้องเพลงด้วยชื่อ น้ำผึ้ง ณ ไร่อ้อย ตั้งแต่อายุ 8 ขวบไปทั่ว จนอายุ 10 ขวบได้ไปอยู่กับดวง อนุชา แต่ไม่ได้เป็นนักร้องเต็มตัวก็กลับบ้าน ปีพ.ศ.2518  เธอมีอายุ 15 ปี ไวพจน์ เพชรสุวรรณนำดนตรีมาแสดงที่วัดทับกระดานเธอก็ได้เข้าไปประกวดเช่นเดียวกัน จนไวพจน์ เห็นความสามารถ เกิดความเมตตารับเป็นบุตรบุญธรรม และให้เป็นนักร้องพลางๆไปก่อน เพลงแรกของเธอคือเพลง แก้วรอพี่ โดยใช้ชื่อน้ำผึ้งเมืองสุพรรณ ต่อมาเธอมาเริ่มงานกับศรเพชร ศรสุวรรณ แล้วมาอยู่กับขวัญชัย เพชรร้อยเอ็ด ในปีพ.ศ.2519 ครูเพลงลูกทุ่งชื่อดัง มนต์ เมืองเหนือ เธอได้เปลี่ยนชื่อเป็น พุ่มพวง ดวงจันทร์ สุดท้ายเธอได้เข้าสังกัดกับบริษัทเสกสรรเทปแผ่นเสียง ผลงานของพุ่มเพลงเริ่มประสบความสำเร็จ ปีพ.ศ.2521 พุ่มพวงได้รับรางวัลพระราชทานเสาอากาศทองคำ จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี นอกจากนี้ยังเป็นเป็นผู้ร้องเพลงส้มตำ…

Read More

มิตร ชัยบัญชา (Mit Chaibancha)

มิตร ชัยบัญชา (Mit Chaibancha)

ในวงการภาพยนต์ไทยจะมีนักแสดงสักกี่คนที่จะเป็นขวัญใจคนไทยทั้งประเทศได้ หากพูดไปคงไม่มีใครรู้จักมิตร ชัยบัญชานั่นเอง มิตร ชัยบัญชา มีผลงานที่โดดเด่นและหลากหลาย เขามีละครกว่า 366 เรื่อง พันจ่าอากาศโท พิเชษฐ์ พุ่มเหม หรือ มิตร ชัยบัญชา เกิดปีจอ พ.ศ.2477 ในคืนวันอาทิตย์ ประมาณตี1เป็นบุตรของพลตำรวจชม ระวีแสงและนางสงวน ระวีแสง มิตร ชัยบัญชา ไม่มีใครแม้แต่พ่อแม่ของเขาจำได้ว่าเขาเกิดวันที่เท่าไร เดือนไหน มิตร ชัยบัญชาจึงกำหนดวันเกิดตัวเองว่าตนเกิดวันที่ 1 มกราคม ปีจอ วันจันทร์ โดยให้เหตุผลว่าอยากเกิดวันที่ 1 มกราคม เพราะจะได้มีคนอวยพรทั้งประเทศ มิตร ชัยบัญชาเป็นนักแสดงที่สามารถเล่นได้ทุกบท เป็นนักแสดงที่เล่นเก่งมากทีเดียว ฉายาของเขาคือ สุริยาบ้าเลือด เพราะอะไรที่เขาทำไม่ได้ เขาจะทำให้ได้ ก่อนเข้าวงการมิตร ชัยบัญชาได้พบกับผู้สร้างหนังหลายคนแต่ก็โดนปฏิเสธเนื่องจากความสูง เพราะหานางเอกประกบได้ยาก ต่อมาเขาได้พบกับทีมผู้สร้างภาพยนต์ชาติเสือ เขาได้เข้าสู่วงการหนังไทยโดยประทีปโกมลกิต ได้ตั้งชื่อใหม่ให้เขาว่า มิตร ชัยบัญชา มิตร ชัยบัญชาเสียชีวิตขณะถ่ายทำโหนบรรไดเชือก ภาพยนต์เรื่องอินทรีทอง ด้วยอุบัติเหตุตกเฮลิคอปเตอร์เมื่อวันที่ 8  ตุลาคม พ.ศ.2513 ด้วยอายุ 36 ปี ศพของมิตร ชัยบัญชาตั้งบำเพ็จกุศลอยู่ที่วัดแค นางเลิ้ง หลังจากครบ 100 วันพิธีพระราชทานเพลิงศพจัดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มกราคม พ.ศ.2514

Read More

มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi)

มหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi)

เกิดวันที่ – 2 ตุลาคม ค.ศ.1869 เสียชีวิตวันที่ – 30 มกราคม ค.ศ.1948 อายุ – 79 ปี มหาตมะ คานธี เป็นนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองของประเทศอินเดีย เป็นส่วนสำคัญในการช่วยอินเดียต่อสู้เพื่อเอกราชจากประเทศอังกฤษสำเร็จ รวมทั้งยังช่วยยุติการสู้รบระหว่างมุสลิมและฮินดูที่กัลกัตตา โดยการต่อสู้ทางการเมืองของ คานธี เป็นไปในแบบของอหิงสาและสันติวิธี เป็นแบบอย่างการประท้วงที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยการประท้วงของคานธีจะเป็นไปในรูปแบบของอดอาหารประท้วง ตลอดระยะกว่า 55 ปีที่ มหาตมะ คานธี อุทิศตนเองให้แก่ทางการกฎหมายและการเมือง สุดท้ายคานธีได้ถูกรอบสังหารจากชาวฮินดูหัวรุนแรงที่ไม่ยอมให้ฮินดูเข้าร่วมกับมุสลิม โดยการถูกยิงเข้ากลางหน้าผากเป็นจำนวน 3 นัด เสียชีวิตด้วยอายุ 79 ปี คานธีให้ความสำคัญในด้านเหยียดสีผิวอย่างมาก เนื่องจากในปี ค.ศ.1983 คานธีเคยถูกคนผิวขาวเหยียดผิวขั้นรุนแรงถึงขนาดที่ทำร้ายร่างกายกันเลยทีเดียว ระหว่างที่คานธีนั่งรถไฟเดินทางไปเป็นทนายว่าความให้ลูกความในประเทศแอฟริกาใต้แต่กลับถูกเหล่าคนผิวขาวจับโยนลงจากรถไฟ เพียงแค่โดยสารมาในชั้น First Class เท่านั้นเอง นับแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา คานธีจึงต้องการยุติการเหยียดผิวในประเทศแอฟริกาใต้โดยการเรียกร้องสิทธิให้แก่คนผิวคล้ำนั่นเอง

Read More