หลายคนคงเคยได้ยินชื่อเสียงเรียงนามของ ไมเคิล แจ็คสัน มาบ้างแล้วไม่มากก็น้อย เพราะไมเคิล แจ็คสัน เป็นนักร้องคนหนึ่งที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลก แต่ตัวผู้เขียนเองก็รู้จักเพียงชื่อ และหน้าตาเท่านั้น ยังไม่เคยได้มีโอกาสฟังเพลงของเขา อาจจะเพราะผู้เขียนไม่ได้เกิดมาในยุคที่ไมเคิล กำลังโด่งดัง รวมถึงที่บ้านเองก็ไม่ได้ฟังเพลงสากลเท่าไรนัก และผู้เขียนก็มีความเชื่อว่า ยังมีหลายๆ คนที่ยังไม่รู้จักไมเคิล แจ็คสัน ดีเท่าไรนัก ในวันนี้จึงได้มีการรวบรวมประวัติของนักร้องระดับโลกท่านนี้ให้หลายๆ คนได้รู้จักเค้าไปพร้อมๆกัน Michael Jackson หรือไมเคิล แจ็คสัน มีชื่อเต็มว่า Michael Joseph Jackson (ไมเคิล โจเซฟ แจ็คสัน) เขาเกิดเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2501 ในประเทศสหรัญอเมริกา เขาเข้าวงการนี้เมื่ออายุ 7 ขวบ โดยรับหน้าที่เป็นนักร้องนำในวง เดอะแจ็คสัน ไฟว์ (The Jackson 5) หลังจากนั้น 4 ปี เขาได้ออกอัลบั้มที่มีชื่อว่า Got to Be There ขณะนั้นไมเคิล แจ็คสัน มีอายุเพียงแค่ 11 ปี หลังจากที่อัลบั้มดังกล่าวออกมาก็ได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้ชม โดยคนต่างตะลึงในความสามารถของเขา เพราะเพลงของไมเคิล แจ็คสัน ได้รับความนิยมจนติดอันดับ 1 ได้ถึง 3 เพลงด้วยกัน เมื่อไมเคิลอายุได้ 21 ปี เขาได้ปล่อยผลงานออกมาโดยใช้ชื่ออัลบั้มว่า Off The Wall ซึ่งผลงานนี้ของเขาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีอีกครั้งโดยตอนนั้นมียอดขายถึง…
Read Morehistory
สตีฟ จอบส์ Steve jobs
ในวงการ IT หรือแม้แต่คนธรรมดาอย่างเราๆ ก็คงไม่มีใครไม่รู้จัก Steve jobs ผู้ซึ่งถือกำเนิดบริษัท Apple บริษัทที่ผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ทั้งคอมพิวเตอร์ ไอพอท ไอแพด ไอโฟน และอื่นๆ ของแอปเปิ้ล ซึ่งถือว่าเป็นแบรนด์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากในปัจจุบัน Steven Paul Jobs (สตีเวน พอล จอบส์) หรือ Steve Jobs เขาเกิดเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2498 ณ เมือง San Francisco ในรัฐแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา แม่ที่แท้จริงของจอบส์ คือโจแอน ซิมป์สัน พ่อคือ อับดุลฟัตตะห์ จันดาลี สตีฟ จอบส์ เป็นบุตรบุญธรรมของนายพอล และนางคลารา จอบส์ เขาสมรส กับ ลอเรนซ์ โพเวลล์ เมื่อวัน18 มีนาคม พ.ศ. 2534 ซึ่งมีลูกด้วยกัน 3 คน ข้อมูลอีกอย่างที่ไม่ค่อยมีใครได้ทราบนั่นก็คือ เขานับถือศาสนาพุทธ ด้านการศึกษา Steve jobs เรียนจบระดับไฮสคูลจากโรงเรียน Homestead High School จากนั้นเข้าศึกษาในระดับอุดมศึกษาใน Reed College หลังจากเรียนได้เพียง 6 เดือน เขาได้ลาออก เพราะคิดว่าการเรียนในระดับอุดมศึกษาไม่ได้ช่วยอะไรเขาเลย แต่ถึงอย่างไรก็ตาม…
Read Moreบารัค โอบามา Barack Obama
Barack Obama มีชื่อเต็มว่า Barack Hussein Obama เขาเกิดเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม 2504 ในรัฐฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีบิดาเป็นชาวเคนยา มารดาเป็นชาวอเมริกัน บารัค โอบามาสำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ในคณะรัฐศาสตร์ สาขาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ จากนั้นเขาได้เข้าศึกษาในระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยฮาร์เวิร์ด จนจบในปี 2534 เขาเริ่มต้นประกอบอาชีพเป็นทนายความ ด้านสิทธิมนุษยชน เขาได้สอนกฎหมายด้านรัฐธรรมนูญ ในมหาวิทยาลัยกฎหมายของเมืองชิคาโก ในฐานะของสมาชิกสภาคองเกรส นอกจากนี้บารัคก็ยังมีผลงานมากมาย ทั้งร่างกฎหมายต่างๆ รวมถึงการได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐอิลลินอยส์ ในปี พ.ศ.2539 ในปี 2547 บารัค โอบามาได้แถลงคำปราศรัยต่อที่ประชุมแห่งชาติพรรคเดโมแครตเป็นครั้งแรก เขาได้ตั้งคำถามต่อประธานาธิบดีในขณะนั้นคือ ประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช เกี่ยวกับสงครามที่เกิดขึ้นระหว่างอิรัก พร้อมทั้งได้มุ่งเน้นเกี่ยวกับพันธะผูกพันต่อทหารอเมริกันที่ออกไปทำการรบในต่างประเทศด้วย และที่สำคัญที่ทำให้บารัค โอบามา เป็นที่จับจ้องของทุกคนก็คือ เขาได้กล่าวถึงแง่มุมของการเลือกตั้งที่ดูจะไม่ยุติธรรม และตั้งคำถามเกี่ยวกับความสามัคคีในความแตกต่างของชาวอเมริกัน โดยกล่าวว่า ”ที่นี่ไม่มีอเมริกาสายกลาง และอเมริกาสายอนุรักษ์ มีแต่เพียงอเมริกาที่เป็นสหพันธรัฐของทุกคน” หลังจากที่เขาพูดประโยคเด็ดนี้ออกไป สำนักข่าวในสหรัฐอเมริกาต่างก็ได้นำคำพูดดังกล่าวออกมาตั้งประเด็นขึ้นมากมาย เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้บารัค โอบามากลายเป็นนักการเมืองสำคัญของอเมริกาไปเพียงชั่วพริบตา การหาเสียงที่ชนะใจชาวอเมริกันกว่าครึ่งประเทศของบารัค โอบามา หลักจากที่หลายๆ คนได้รู้จักนักการเมืองคนนี้ไปบ้างแล้ว เมื่อครั้งที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนที่ 44 ของสหรัฐฯ เมื่อปี 2551 บารัคก็ได้เข้ารับการเลือกตั้งครั้งนี้โดยเขามีนโยบายเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลง ซึ่งมีความตรงตามความต้องการของคนรุ่นใหม่ โดยเขาเลือกที่จะหาเสียงผ่านสื่อทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งภาพที่ติดตาของทุกคน คือภาพใบหน้าของบารัค โอบามา พร้อมข้อความที่เขียนด้านล่างว่า HOPE ซึ่งหมายถึงความหวังของคนสหรัฐฯ ที่อยากเห็นถึงการเปลี่ยนแปลง ในขณะนั้นคู่แข่งของบารัค โอบามาคือนางฮิลลารีน่า ซึ่งหลายคนต่างก็เชื่อว่าเธอจะชนะการเลือกตั้งครั้งนี้…
Read Moreเอากุสตุส ซีซาร์ (Augustus Caesar)
จักรพรรดิเอากุสตุส เขาเกิดมาในตระกูลเดียวกับจูเลียต ซีซาร์ แต่พอจูเลียต ซีซาร์พี่ชายของยายเขาโดนลอบสังหาร เขาจึงได้รับแต่งตั้งให้เป็นลูกบุญธรรมของซีซาร์ เมื่อโตขึ้นมาเขาไปปฏิวัติการปกครองมาเป็นแบบจักรวรรดิและแต่งตั้งตัวเองขึ้นมาเป็นจักรพรรดิซึ่งเขาไปขึ้นครองอำนาจตั้งแต่ปี 27 จนถึงปีที่ 14 ก่อนคริสต์ศักราช เขาเป็นจุดรวมทุกอย่างในโรมันต์ ดูแลและควบคุมการปกครองทั้งหมด ในสมัยออกุสตุส จักพรรดิแห่งโรมันต์สมัยนี้ได้มีการขยายอำนาจอย่างกว้างขวาง นับว่าเป็นสมัยจักวรรดิที่รุ่งเรืองที่สุดก็เป็นได้ ในสมัยของเอากุสตุสจะสร้างอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่แล้วเขายังสร้างสาธารณูปโภคอย่างอื่นเพื่อแสดงให้ประเทศอื่นรู้ว่าบ้านเมืองของเขานั้นรุ่งเรืองถึงขีดสุด ไม่ว่าจะเป็นอุโมงค์ที่สามารถเชื่อมอาณาจักรของเขา สะพาน ถนน และในสมัยนั้นยังมีทหารที่เป็นกองทัพเรือคอยลาดตะเวนดูความเคลื่อนไหวของทะเลเมดิเตอร์เรเนียนที่รู้จักกันทั่วโลกอีกด้วย ถึงแม้ตอนนี้จักรพรรดิเอากุสตุสจะตายไปแล้ว แต่จักรวรรดิโรมันของเขานั้นยังเป็นจักรวรรดิที่เข็มแข็ง มีชื่อเสียงเรื่องการรบ เรื่องราวในอดีตที่สร้างความน่าประทับใจในความกล้าหาญจนทำให้คนรุ่นหลังนำมาทำเป็นภาพยนต์หลายเรื่องให้เราได้ศึกษาในปัจจุบัน
Read Moreจูเลียส ซีซาร์ (Julian Caesar)
จูเลียต ซีซาร์ กำเนิดเมื่อ 22 กรกฏาคม เมื่อประมาณ 100 ปีก่อนคริสตศักราช ในครอบครัวขุนนางที่เก่าแก่ ซีซาร์เป็นทารกคนแรกที่คลอดโดยการผ่าท้อง พ่อของเขาตายเมื่อเขามีอายุได้เพียง 16 ปี มีเพียงแต่แม่ของเขาที่ดูแลเขาตลอดมา ตั้งแต่เด็กซีซาร์ไม่คิดว่าเขาจะเป็นทหารแบบจริงจัง เพราะอาชีพที่เขาอยากเป็นนั้น คือนักกฏหมาย หรือทนายความ เพราะในสมัยนั้นอาชีพนี้เป็นหน้าเป็นตาของวงศ์ตระกูล ซีซาร์เป็นคนที่ชื่นชอบด้านการต่อสู้เป็นชีวิตจิตใจ เขามีแววฉายตั้งแต่เล็กว่าเขาจะเป็นนักรบที่มีความสามารถมากคนหนึ่ง พอเขาอายุ 21 ปีเขามีชื่อเสียงมากจากการรบ เขาได้รับเหรียญกล้าหาญจากการเอาชนะจาก 300 ประเทศได้ เขาจึงเป็นทหารผู้ที่มีอำนาจ และเก่งทีสุดในสมัยนั้นเพราะเขาสามารถเอาชนะแต่ละเมืองได้อย่างรวดเร็วตั้งแต่ยุโรปตอนเหนือจนไปถึงยุโรปตอนใต้ ซีซาร์เป็นชายชาติทหารผู้ไม่เกรงกลัวอันตรายใดๆ เขามักจะแสดงความกล้าหาญของเขาให้เหล่ากองทัพของเขาได้ดูเป็นตัวอย่าง เขามักสอนในทหารของเขามีสติและเชื่อมั่นในตัวเอง ตลอดเวลาที่เขาอยู่ในสนามรบเขาจะคิดถึงแต่ความยิ่งใหญ่ แต่ถึงแม้ว่าซีซาร์จะเก่งแค่ไหน เขาก็พลาดพลั้งโดนทหารคนสนิดลอบสังหารเพียงเพราะเขาไว้ใจทหารคนนั้นมากเกินไป ถึงแม้ตอนนี้ซีซาร์จะตายไปนานมากแล้วแต่ในประวัติศาสตร์ ซีซาร์ถือว่าเป็นผู้บัญชาทหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่ง
Read MoreHistory – John F. Kennedy
สำหรับประธานาธิบดีที่มีอายุน้อยที่สุดของสหรัฐอเมริกาคงไม่มีใครไม่รู้จัก จอห์น เอฟ.เคเนดี้ เป็นประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา เจ้าของคำพูดที่เปี่ยมไปด้วยสำนึกของผู้นำ ด้วยคำว่า “จงอย่าถามว่าประเทศให้อะไรกับท่าน แต่จงถามว่าท่านท่านให้อะไรกับประเทศชาติบ้าง” จอห์น เอฟ.เคเนดี้เกิดเมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม ค.ศ.1917 ที่เมืองบรู๊คลิน เป็นบุตรคนที่ 2 ของคหบดีใหญ่ โจเซฟ แพรทริค เคเนดี้ ในวัยเด็กเขาเรียนที่โรงเรียนมัธยมในรัฐคอนเนตทิคัต และเรียนต่อในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด จนกระทั่งจบการศึกษาปริญาตรีด้วยเกียรตินิยม สาขาวิทยาศาสตร์ เมื่อปี พ.ศ.2483 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขารับใช้ชาติอยู่ในหน่วยนาวิกโยธิน โดยในปี พ.ศ.2486 หลังจากที่อ่าวโอฮาเปอร์โดนกลุ่มญี่ปุ่นโจมตี จอห์น เอฟ.เคเนดี้ ได้ติดยศเรือโท ได้รับเหรียญกล้าหาญจากการช่วยเหลือเพื่อทหารขณะโดนโจมตี หลังจากสงครามสงบเขาทำงานเป็นผู้สื่อข่าวอยู่พักหนึ่ง แล้วค่อยเข้าอยู่ในสายงานการเมือง ในปีพ.ศ.2503 ได้รับเลือกเข้าชิงตำแหน่ง ประธานาธิบดีในวัยเพียง 43 ปี หลายคนให้การยอมรับว่าเขาเป็นหนุ่มไฟแรง มีความมุ่งมั่น วิสัยทัศกว้างไกล นอกจากนี้ยังมีนโยบายต่างประเทศให้โซเวียตถอนขีปนาวุธในคิวบาเพื่อลดวิกฤตการณ์ขีปนาวุธ และให้ความช่วยเหลือความช่วยเหลือเวียดนามใต้ เป็นต้นเหตุทำให้เกิดความโหดร้ายและรุนแรงเพราะเชื่อว่าความสามารถกองกำลังทหารสามารถเอาชนะคอมมิวนิสต์ได้ อย่างไรก็ตามช่วงไกล้สิ้นวาระของการดำรงตำแหน่ง และเตรียมตัวเข้าชิงเก้าอี้เป็นสมัยที่ 2 เขาจึงตัดสินใจไปเจรจาเพื่อยุติความขัดแย้ง ขณะที่เคเนดี้และภรรยาได้เดินทางไปที่เมืองเมืองแดลลัส รัฐเทกซัส เพื่อหาเสียง ซึ่งตอนที่เขากำลังพบปะกับผู้คนอยู่ เคเนดี้ ได้ถูกนายลี ฮาร์ลี ออร์วอร์ด ได้ใช้ปืนไรเฟิลยิงใส่ร่าง 2 นัดที่ลำคอและศรีษะ เมื่อวันที่ 22พฤศจิกายน ค.ศ.1963
Read Moreอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ (Adolf Hitler)
ถ้าพูดถึงสงครามโลกครั้งที่ 2 คงไม่มีใครไม่รู้จักผู้นำเผด็จการอย่างอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขาได้เกิดเมื่อวันที่ 20 เมษายน ค.ศ. 1889 ที่เมืองเบรานา ประเทศออสเตรีย เป็นบุตรคนที่ 4 ของนายอาลัวส์ อิตเลอร์ และนางคลารา ฮิตเลอร์ เขาเป็นคนเรียนเก่ง รักศิลปะ พออายุ 6 ขวบ ครอบครัวของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ย้ายไปที่เมืองเลออนดิง เมื่อในปี ค.ศ.1894 เขามีปัญหากับพ่อและครูอย่างต่อเนื่อง อดอล์ฟ ฮิตเลอร์เริ่มหลงไหลลัทธิชาตินิยมในเยอรมันเมื่อเขาได้ค้นพบภาพสงครามฝรั่งเศส – ปรัสเซียนั่นของพ่อ จากการดูภาพนั้นจึงทำให้เขาเป็นคนที่บ้าสงคราม ต่อมาในปี ค.ศ 1903 เขาได้ทะเลาะกับพ่อเรื่องการเรียนทำให้หนีไปอยู่กับป้าที่กรุงเวียนนา อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ได้ลาออกจากโรงเรียนและได้หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นจิตรกรวาดรูป เมื่ออายุครบ 20 ปี อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้เข้าไปเป็นทหารอาสาในกองทัพของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่1 หลังจากสงครามเขาเริ่มจึงเป็นที่รู้จักและนี่ก็เป็นจุดเริ่มต้นทางการเมืองของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ และเขาได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซีในวัย 32 ปีและต่อต้านชาวยิว ในปีค.ศ1923 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เริ่มก่อการปฏิวัติแต่ไม่สำเร็จจึงถูกจำคุกในที่สุด 1 ปีต่อมาอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวก่อนกำหนดและได้เริ่มการเมืองต่อเพราะได้รับการแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี ในปี ค.ศ. 1939 อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ประกาศสงครามกับฝ่ายพันธมิตร เยอรมันได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ทำให้มีผู้บริสุทธิ์ตายได้ 11 ล้านคน โดยเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคน จากนั้นเขาจึงได้รับการยกให้เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลแห่งปี จากนิตยสารไทม์…
Read Moreมหาตมะ คานธี (Mahatma Gandhi)
เกิดวันที่ – 2 ตุลาคม ค.ศ.1869 เสียชีวิตวันที่ – 30 มกราคม ค.ศ.1948 อายุ – 79 ปี มหาตมะ คานธี เป็นนักการเมืองและผู้นำทางการเมืองของประเทศอินเดีย เป็นส่วนสำคัญในการช่วยอินเดียต่อสู้เพื่อเอกราชจากประเทศอังกฤษสำเร็จ รวมทั้งยังช่วยยุติการสู้รบระหว่างมุสลิมและฮินดูที่กัลกัตตา โดยการต่อสู้ทางการเมืองของ คานธี เป็นไปในแบบของอหิงสาและสันติวิธี เป็นแบบอย่างการประท้วงที่ไม่ใช้ความรุนแรง โดยการประท้วงของคานธีจะเป็นไปในรูปแบบของอดอาหารประท้วง ตลอดระยะกว่า 55 ปีที่ มหาตมะ คานธี อุทิศตนเองให้แก่ทางการกฎหมายและการเมือง สุดท้ายคานธีได้ถูกรอบสังหารจากชาวฮินดูหัวรุนแรงที่ไม่ยอมให้ฮินดูเข้าร่วมกับมุสลิม โดยการถูกยิงเข้ากลางหน้าผากเป็นจำนวน 3 นัด เสียชีวิตด้วยอายุ 79 ปี คานธีให้ความสำคัญในด้านเหยียดสีผิวอย่างมาก เนื่องจากในปี ค.ศ.1983 คานธีเคยถูกคนผิวขาวเหยียดผิวขั้นรุนแรงถึงขนาดที่ทำร้ายร่างกายกันเลยทีเดียว ระหว่างที่คานธีนั่งรถไฟเดินทางไปเป็นทนายว่าความให้ลูกความในประเทศแอฟริกาใต้แต่กลับถูกเหล่าคนผิวขาวจับโยนลงจากรถไฟ เพียงแค่โดยสารมาในชั้น First Class เท่านั้นเอง นับแต่เหตุการณ์นั้นเป็นต้นมา คานธีจึงต้องการยุติการเหยียดผิวในประเทศแอฟริกาใต้โดยการเรียกร้องสิทธิให้แก่คนผิวคล้ำนั่นเอง
Read More